มิตซูบิชิ ไทรทัน 2024: Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT กระบะยกสูงแต่งเข้มโหดตรงใจคนพันธุ์แกร่งนับตั้งแต่กระบะ มิตซูบิชิ ลืมตาดูโลกมานั้นได้รับการตอบรับอย่างดีจากสิงห์รถกระบะชาวไทยและทั่วโลกจนกลายเป็นตัวเลขมากกว่า 5 ล้านคนที่ให้ความเชื่อมั่น ความไว้ใจมายาวนานกว่า 4 ทศวรรษ นับตั้งแต่เจเนอเรชั่นแรกออกสู่ตลาดจนมาถึง มิตซูบิขิ ไทรทัน เจนเนอเรชั่นที่ 5 ที่ปรับหน้าหล่อใหม่ทั้งคันเข้มลุยแบบมีชั้นเชิง
หลังจากเมื่อปีกลายผมได้ทดลองขับรุ่นท็อปสุด Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD เกียร์อัตโนมัติ ปีนี้กลับมาจับกระบะจค่ายทรีไดมอนด์อีกครั้งแต่ครั้งนี้เป็นรุ่นแต่งเข้มจากโรงงาน ในชื่อ Mitsubishi Triton Double Cab Athlete ซึ่งจะมีทั้งรุ่นขับเคลื่อน 4 ล้อ 4WD Athlete เกียร์อัตโนมัติ และยังมีรุ่นขับเคลื่อน 2 ล้อยกสูง Plus Athlete GT 2WD เกียร์อัตโนมัติ ให้เลือกซึ่งก็คือรุ่นที่นำมารีวิวทดลองขับครั้งนี้
Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT นำพื้นฐานรุ่น Double Cab Plus GT 2WD มาเติมแต่งแทนรุ่นเดิม Double Cab Plus GT- Premium 2WD เพื่อจำหน่ายในราคาไม่ถึงล้าน ความหล่อคมมีเสน่ห์ไม่ต่างจากรุ่นท็อปสุดเพียงแต่เติมเต็มความเข้มความโหดเข้าไปด้วยชุดแต่งสีดำเข้มไม่ว่าจะเป็นกระจังหน้าสีดำเงาพร้อมกรอบกันชนดีไซน์ไดนามิกชิลด์ด้านหน้าสีดำพร้อมโลโก้ตราทรีไดมอนด์ประกับไฟหน้า Projector Bi-LED และไฟ LED Daytime อยู่ในโคมเดียวกันติดตั้งอยู่บนตำแหน่งที่สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 100 มม. เข้าเป็นชิ้นเดียวกันด้วยกันชนหน้าดีไซน์เท่ไฟตัดหมอกหน้าแบบหลอดธรรมดาไร้หลอด LED ที่ออกแบบให้สูงขึ้นกว่ารุ่นเดิมถึง 700 มม. พร้อมชุดแต่งกันชนหน้าสีดำครอบทับด้านข้างช่องระบายอากาศและใต้กันชนหน้าด้วย โดยการออกแบบไฟหน้าและไฟตัดหมอกหน้าให้อยู่ในตำแหน่งที่สูงขึ้นทาง Mitsubishi ให้คำตอบมาว่าเพื่อการมองเห็นชัดขึ้นลดความเสี่ยงจากการขับขี่ฝ่าน้ำท่วมขังหรือถูกหินกระเด็นใส่ตัวรถจนเสียหาย
ด้านข้างเท่ระเบิดด้วยชุดแต่งสีดำตั้งแต่ที่เปิดประตู บันไดข้างขึ้นรูป กระจกมองข้างพร้อมไฟเลี้ยวที่ปรับและพับด้วยระบบไฟฟ้า ล้ออัลลอยลายสีดำ 6 ก้านคู่ใหญ่สุด 18 นิ้ว พร้อมยางจาก Bridgestone Dueler H/T ขนาด 265/60 R18 สปอร์ตบาร์ดีไซน์เข้มยาวครอบยาวถึงกระบะท้าย รับกับหลังคารถสีดำ สติ๊กเกอร์ลายดุสีดำคาดตั้งแต่ประตูท้ายถึงกรบะท้ายติดตราสัญลักษณ์ Triton Athlete ตัวหนังสือสีดำขอบส้ม ด้านท้ายเดิมๆเหมือน Triton รุ่นปกติ แต่แต่งด้วยสีดำทั้ง กันชนหลังขึ้นรูป ที่เปิดกระบะท้ายแนวยาวติดตั้งกล้องมองหลังพร้อมสัญลักษณ์ Athlete บ่งบอกความเป็นกระบะพันธุ์เข้มบนพื้นฐานเดิม ฝากระบะท้ายติดด้วยสปอยเลอร์หลังพร้อมไฟเบรกดวงที่ 3 ไฟท้าย LED พร้อม LED Light Guide และไฟเบรกดวงที่ 3 แบบ LED กันชนหลังดีไซน์เรียบง่ายสีเทาอ่อน โดยติดตั้งกล้องรอบคันไว้ 4 จุด ตั้งแต่บริเวณช่องระบายอากาศใต้กระจังหน้า กระจกมองข้าง และที่เปิดกระบะท้ายแต่ว่าไม่มีระบบสัญญาณเตือนกะระยะการจอด หน้า-หลัง ด้านละ 4 จุด ซึ่งไม่เข้าใจว่าทำไมต้องตัด
มิติตัวรถในรุ่นแต่งยกสูง Double Cab Plus Athlete GT 2WD ปรับรายละเอียดเล็กน้อยตั้งแต่ความยาว 5,300 มม. ความกว้าง 1,815 มม. ความสูง 1,795 มม. ฐานล้อ 3,000 มม. ความสูงจากใต้ท้องรถ 220 มม. น้ำหนัก 1,857 กก. ความจุถังน้ำมัน 75 ลิตร ส่วนมิติกระบะท้ายยังมีขนาดเท่าเดิมตั้งแต่ความยาวกระบะภายใน 1,470 มม. ความกว้างกระบะภายใน 1,520 มม. และความสูงกระบะภายใน 475 มม. เรียกว่ายาวใหญ่ขนของเต็มรูปแบบ
ภายในห้องโดยสารแทบไม่ต่างจากรุ่นท็อปสุด Double Cab GT-Premium 4WD โดยในรุ่น Double Cab Plus Athlete GT 2WD เติมสีสันให้เร้าใจกับโทนสีเทาดำ-ส้มเริ่มที่เบาะนั่งหุ้มด้วยวัสดุกึ่งหนังแท้สีดำส้ม ปักโลโก้ Athleteโดยคนขับปรับได้ 8 ทิศทางด้วยระบบไฟฟ้า ส่วนคนนั่งยังปรับด้วยมือ ตัวโครงเบาะยังคงเดิมแต่ปรับรายเละเอียดให้นั่งสบายโอบกระชับขึ้น พร้อมที่ใส่หนังสือหลังเบาะและที่แขวนหลังเบาะคนนั่งด้านหน้า เบาะหลังป็นจุดเด่นที่นั่งสบายสุดในอันดับต้นๆ พร้อมที่วางแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว หมอนรองศีรษะ 3 ตำแหน่ง พร้อมที่พักแขนและที่วางแก้วน้ำในตัว เอาใจพ่อบ้านด้วยจุดยึดเบาะเด็ก ISOFIX 2 ตำแหน่งสำหรับติดตั้งเบาะเด็กเพื่อความปลอดภัยและความห่วงใยสำหรับเจ้าตัวเล็ก
แผงคอนโซลหน้าดีไซน์เดิมเริ่มที่แผงช่องแอร์ซ้าย-ขวาใหญ่ขึ้นขึ้นประดับด้วยปุ่มการใช้งานง่ายกว่า ประณีตขึ้นด้วยวัสดุ Soft Touch ผิวสัมผัสสีส้มเดินด้ายบุนุ่มตัดเย็บที่บริเวณคอนโซลเกียร์ กล่องคอนโซลกลางพร้อมที่วางแขนและเบรกมืออย่างพิถีพิถัน พร้อมช่องวางของและช่อง USB 2 จุดสำหรับด้านหลังกล่องที่เท้าแขน ถึงจะมีการปรับในส่วนคอนโซลกลางให้ดูดีที่สุด ออพชั่นเดิมแต่ในส่วนเครื่องเสียงเปลี่ยนจอสัมผัสใหม่ดีไซน์กลมกลืนสีดำ ขนาด 7 นิ้ว รองรับการใช้งานแอปเปิล คาร์เพลย์ และแอนดรอยด์ ออโต้ เชื่อมหน้าจอสมาร์ทโฟนเข้าจอสัมผัสได้ จากเดิมไม่เคยมีให้แต่ถึงจะปรับหน้าจอสัมผัสใหม่ก็จริงแต่หน้าจอ 7 นิ้วยังเล็กกว่าคู่แข่งที่เขาให้มาตั้งแต่ 8-10 นิ้ว แถมลำโพงให้มาแค่ 4 จุด ซึ่งน้อยกว่าเจ้าอื่นๆที่ให้มา 6-8 จุด เสียงการฟังเพลงให้เนื้อเสียงบ้านๆไม่กระหึ่มมากแต่พอฟังได้สำหรับใครที่ไม่คิดมากไม่ต้องเสียตังค์อัพเกรดเครื่องเสียง
เครื่องปรับอากาศ Auto ที่รุ่นนี้ดัดแปลงจากรุ่น Double Cab Plus GT 2WD จะมีแค่ควบคุมอุณหภูมิโซนเดียวไม่แยกซ้าย-ขวา และไม่มีช่องแอร์ด้านหลังบนเพดานหลังคารถพร้อมแผงควบคุมให้ความเย็นสบายซึ่งบอกตรงๆว่าควรต้องมีมาตรวัดเรืองแสงคราวนี้ชัดเจนขึ้นด้วยระบบกับจอแสดงข้อมูล MID จอสี 3 มิติ และข้อความภาษาไทย พวงมาลัยมัลติฟังก์ชั่นทรงเดิม 4 ก้านสามารถปรับระดับได้ 4 ทิศทาง ทั้งสูง-ต่ำ กับ เข้า-ออกได้เช่นเดิม พร้อมออดิโอสวิตช์ควบคุมการทำงานต่างๆทั้ง ปุ่มควบคุมการทำงานเครื่องเสียง ในด้านซ้ายและปุ่ม Cruise Control ในด้านขวา เพิ่มปุ่มควบคุมการทำงานของมาตรวัดแสดงจอ MID และปุ่มรับโทรศัพท์และที่ขาดไม่ได้คือ กุญแจอัจฉริยะ KOS แค่กดปุ่มสีดำเล็กๆจากก้านที่เปิดประตูก็สามารถปลดล็อกได้สบายๆ พร้อมปุ่ม Push Start สะดวกในการสตาร์ทรถ ระบบความปลอดภัยนอกจากก็ยังจำเป็นสำหรับกระบะยุคนี้มีทั้ง ถุงลมนิรภัยคูห่น้า ระบบเบรก ABS ระบบกระจายแรงเบรก EBD ระบบควบคุมการทรงตัวและป้องกันล้อหมุนฟรี ASTC ระบบช่วยออกตัวบนทางลาดชัน Hill Start Assist System (HSA) ให้เท่านั้น
แฟนๆค่ายรถทรีไดมอนด์จะคุ้นเคยกันเป็นอย่างดีและยังเป็นเอกลักษณ์เด่นในรถยนต์ Mitsubishi ทุกรุ่นจนถึง Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT กับระบบ ETACS หรือ Electronic Time and Alarm Control System ระบบอำนวยความสะดวกและความปลอดภัยอัจฉริยะให้เป็นออพชั่นมาตรฐาน ทั้ง ใบปัดน้ำฝนหน้าปรับความเร็วเป็นจังหวะที่ 1 อัตโนมัติ (ตั้งปัดเป็นจังหวะ) เมื่อถึงความเร็วที่กำหนด และกลับมาที่ตำแหน่งเดิมเมื่อความเร็วลดลง หรือหยุดรถ, ระบบสัญญาณไฟเลี้ยวเพื่อเปลี่ยนเลนเพียงขยับก้านไฟเลี้ยวเพียงเล็กน้อย สัญญาณไฟเลี้ยวจะกะพริบ 3 ครั้ง, สัญญาณเสียงเตือนลืมปิดไฟหรี่, ระบบหน่วงเวลาเปิด-ปิดกระจกไฟฟ้าหลังดับเครื่องยนต์กระจกไฟฟ้าจะทำงานภายใน 30 วินาที ก่อนเปิดประตู, ระบบไฟนำทางหลังดับเครื่องยนต์, ระบบตัดการทำงานไฟหน้าอัตโนมัติหลังจากดับเครื่องยนต์แล้วเปิดประตู ระบบจะปิดไฟหน้าโดยอัตโนมัติ แต่ระบบหน่วงเวลาจะปิดไฟในห้องโดยสารภายใน 15 วินาที, ระบบล็อกประตูอัตโนมัติ เมื่อรถมีความเร็วตั้งแต่ 15 กม./ชม., ระบบไฟกระพริบฉุกเฉินอัตโนมัติ และระบบเซ็นทรัลล็อก เป็นต้น
Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT ยังคงแรงเร้าใจเช่นเดิมด้วยขุมพลังดีเซลเทอร์โบแปรผัน VG Turbo รหัส 4N15 MIVEC Clean Diesel 2.4 ลิตร ปริมาตรความจุกระบอกสูบ 2,442 ซีซี. ความกว้างกระบอกสูบ X ช่วงชัก 86.0 X 105.1 มม. อัตราส่วนกำลังอัด 14.9:1 ให้กำลังสูงสุด 181 แรงม้าที่ 3,500 รอบ/นาที แรงบิดสูงสุด 430 นิวตันเมตร ที่ 2,500 รอบ/นาที ข้อมูลโรงงาน ปล่อย CO2 ที่ 196 กรัมต่อกิโลเมตร อัตราสิ้นเปลืองในเมืองทำได้ 11.63 กม./ลิตร นอกเมือง 14.93 กม./ลิตร และเฉลี่ย 13.50 กม./ลิตร จับคู่กับระบบเกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด พร้อมระบบ Sport Mode +/- ในกรณีที่ต้องการเร่งแซงสามารถแต่ว่าไม่มีสิ่งนี้จะทำให้คนขับหมดออรถรสในการขับขี่ก้เป็นได้นั่นคือไม่มี Paddle Shift หลังพวงมาลัย เพิ่มความสนุกในการขับขี่นั่นเองซึ่งถือว่าเสียดายอย่างยิ่ง
ด้วยตัวรถที่ยกสูงและน้ำหนักรถที่เบากว่ารุ่นท็อปสุด Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD ถึง 103 กก. ทำให้ความกระฉับกระเฉงในการขับขี่คล่องตัวว่องไวขึ้น แต่ก็ยังแรงติดเบาะอยู่ระดับกลางๆอาจมีหน่วงบ้างตอนกดคันเร่งเต็มๆ 100 % เพื่อแซง (แต่ถ้ากดคิ๊กดาวน์ไป 50 % ยังมีเรี่ยวแรงแซงได้) ส่วนหนึ่งอาจเป็นเพราะรอบของแรงบิดที่มาสูงตั้งแต่ 2,500 รอบ/นาที แต่ถ้าช่วงความเร็วปลายมาแบบไหลต่อเนื่อง การขับขี่อาจถูกใจคนเท้าหนัก แต่ต้องเหล่สายตามามองมาตรวัดกันสักหน่อยนะครับอย่าเผลอไปเร่งความเร็วเพลิน อาจมีใบสั่งส่งมาถึงบ้านก็เป็นได้ ถึงแรงบิดจะให้แค่ระดับ 430 นิวตันเมตรก็ตาม การใช้งานปกติขับขี่ในเมืองให้การตอบสนองที่ค่อนข้างไวและดีในระดับหนึ่งถึงไม่แรงเท่าคู่แข่งตัวเอ้จากเชื้อชาติเดียวกันหรือฝากอเมริกา รอบเครื่องยนต์ในช่วงความเร็ว 90 -120 กม./ชม. ทำผลงานสูงสุดไม่ถึง 2,000 รอบ/นาทีด้วยรอบตั้งแต่ 1,450 1,600 1,800 และ 1,950 รอบ/นาที (ในเกียร์ 6) ตามลำดับ ด้าน Performance Test ทำผลงานค่อนข้างพอใจ จากจุดหยุดนิ่งไปแตะถึง 100 กม./ชม. ทำได้ 3 ครั้งดังนี้ 1. 10.73 วินาที 2. 10.61 วินาที 3. 10.66 วินาที = เฉลี่ย 10.66 วินาที (รุ่น Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD ทำได้ 10.94 วินาที)
เกียร์อัตโนมัติ 6 สปีด ที่มาประจำการแทนลูกเก่า 5 สปีดมีอาการที่แปลกๆ ตอนช่วงขับความเร็ว 90 กม./ชม. เกียร์ยังคาอยู่ที่เกียร์ 5 ทำให้รอบเครื่องสูงขึ้นถึงเกือบ 1,800 รอบ/นาที ทำให้ต้องตบเข้าเกียร์ 6 ทันทีหรือขึ้นความเร็วไปตั้งแต่ 100 กม./ชม. เพื่อให้เข้าเกียร์ 6 โดยลดกำลังของรอบเครื่องและเพื่อความประหยัดน้ำมัน แต่การใช้งานปกติตอบสนองไวเข้าเกียร์ราบรื่นไม่กระตุกเช่นเดิมด้านการเก็บเสียงยังเป็นจุดเด่นทำผลงานได้ดีเหมือนรุ่นท็อปสุด Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD ขับขี่ทางเรียบ การเก็บเสียงเงียบมากในช่วงความเร็ว 80-120 กม./ชม. แต่ช่วงความเร็วสูงๆตั้งแต่ 130 กม./ชม. มีเสียงลมเข้ามาปะทะบ้างนิดหน่อย แต่ภาพรวมถือว่าให้ความเงียบเท่ากับรุ่นก่อนปรับโฉม ถึงแม้จะมีอุปกรณ์ดูดซับเสียงตามจุดต่างๆในห้องเครื่องยนต์ พื้นที่ใต้ห้องโดยสารบริเวณฐานเกียร์ บังโคลนหน้ารถ และในห้องโดยสาร ที่ บริเวณคอนโซลหน้าและคอนโซลกลาง
ระบบช่วงล่างยังเป็นด้านหน้าแบบอิสระปีกนกคู่พร้อมคอยล์สปริงพร้อมเหล็กกันโคลงหน้า และด้านหลังแบบแหนบแผ่นซ้อนโช้คอัพไขว้ Leaf Springs บุคลิกของมันยังคงเช่นเดิมเหมือนรุ่นท็อปสุด Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD นุ่มนวลมาก่อน หนึบตามหลัง แต่เข้าโค้งยังคมกริบ ไม่มีออกอาการหน้าลื่น้ทายปัดแต่อย่างใด จากระบบควบคุมการทรงตัว (ASC) ด้านพวงมาลัยพาวเวอร์ แร็คแอนด์พีเนี่ยนแบบน้ำมัน ที่ให้ความคมในการบังคับควบคุมการเปลี่ยนเลนแม่นยำ คมในการบังคับควบคุม เช่นเดิม พร้อมรัศมีวงเลี้ยวที่แคบ 5.9 เมตร โดยยังเป็นเอกลักษณ์เฉพาะตัว น้ำหนักพวงมาลัยอยู่ในเกณฑ์ปานกลางแบบ ผู้ชายขับได้ ผู้หญิงขับดี ด้านระบบเบรกใช้ดิสก์เบรกล้อหน้าขนาดใหญ่ขึ้นเดิม พร้อมคาลิปเปอร์ 2 Pot และหลังแบบดรัมเบรก ให้ความทันใจในการเบรก ในช่วงเหยียบแป้นเบรกไปแล้วประมาณ 20-30 %
ปิดท้ายด้วยอัตราสิ้นเปลืองน้ำมันจากโปรแกรม Save Mode ทำได้ดีวก่ารุ่นท็อปสุดเพราะส่วนหนึ่งถึงจะเติมแต่งชุดสเกิร์ตรอบคันทำให้เข้มขึ้นแต่น้ำหนักรถลดลงกว่าเดิมถึงร้อยกิโลกรัม ทำให้อัตราสิ้นเปลืองสูตร Save Mode ทำได้ 13.67 กม./ลิตร จากระยะทางรวม 60.7 กม.จัดน้ำมันเต็มถังจากปั๊มแถว ถ.เพชรบุรีตัดใหม่ กรุงเทพฯ 4.44 ลิตร ใช้ความเร็วไม่เกิน 120 กม./ชม. ตามสภาพการใช้งานจริง (รุ่น Double Cab 2.4 GT-Premium 4WD ทำ Save Mode ได้ 12.59 วินาที) การใช้งานในเมืองได้ตัวเลขสิ้นเปลืองที่ 8.86 กม./ลิตร โดยที่ได้ตัวเลขมาขนาดนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากระบบ สตาร์ท-ดับเครื่องยนต์อัตโนมัติแบบอัจฉริยะ Auto Stop & Go โดยระบบจะดับเครื่องยนต์เฉพาะเมื่อรถหยุดการเคลื่อนที่เมื่อรถหยุดไฟแดงนานสุด 1 นาที ช่วงการทำงานนั้น บรรดาเครื่องปรับอากาศกับวิทยุเครื่องเสียงยังทำงานตามปกติ แต่ถ้าไม่ปรารถนาที่จะใช้ถ้ารำคาญว่าเดี๋ยวติดเดี๋ยวดับในชั่วขณะระบบนี้ก็สามารถกดปุ่มยกเลิกระบบได้เช่นกัน
การตัดสินใจ Re-Launch อีกรอบพร้อมทั้งปรับราคาลงเหลือ 985,000 บาท (ถูกลงจากเดิมถึง 50,000 บาท) ทำให้ลูกค้าสามารถตัดสินใจเป็นเจ้าของ ถึงแม้ออพชั่นบางอย่างก็ถูกตัดทอนออกไปเพื่อแข่งขันสู้กับเจ้าใหญ่ๆ แต่ชดเชยด้วยการเสริมชุดสเกิร์ต ใส่สปอร์ตบาร์ ใส่สติ๊กเกอร์สีเข้ม ตกแต่งให้ดุโหดบนหน้าตาดีเด่นสไตล์ Advanced Dynamic Shield เฉียบคม บ่งบอกความเป็นดีเอ็นเอ ของ มิตซูบิชิ ขุมพลังค่อนข้างปรู๊ดปร๊าดดีว่ารุ่นขับสี่ท็อปสุดทั้งตอนต้นและไหลยาวๆในความเร็วปลายจนอาจลืมไปแล้วว่าขับที่ความเร็วใดถ้าไม่เหล่ตาไปมองที่มาตรวัด ช่วงล่างนุ่มนำหนึบตาม พวงมาลัยคม เก็บเสียงเยี่ยม และด้วยชื่อเสียงที่สั่งสมมาจากสนามแข่งโหด ดักการ์ แรลลี่ ถ่ายทอดมาทุกยุคทุกสมัย ในเรื่องความอึด ทน ทายาด ทำให้ Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT สามารถสู้ได้กับกลุ่มกระบะแต่งหล่อจากโรงงานได้อย่างเต็มรูปแบบ
ขอขอบคุณ บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด ที่ให้ความอนุเคราะห์รถยนต์ Mitsubishi Triton Double Cab Plus Athlete GT มารีวิวทดลองขับครั้งนี้
สิ่งที่ชอบ >>> หน้าตาคมขึ้น ดุขึ้น ของแต่งเข้มสีดำ ดุ โหดหล่อแบบหนุ่มร่างกำยำ ขุมพลังไหลปลาย เบาะนั่งสบายทั้งตอนหน้าและหลัง พวงมาลัยคมช่วงล่างนุ่มๆแบบรถเก๋ง แต่ยังมีจอรอบคัน 360 องศา
สิ่งที่ไม่ชอบ >>> ถึงจะทำราคาให้ถูกลงกว่ารุ่นเดิมแต่ออพชั่นบางอย่างถูกตัดและแต่ละอย่างล้วนมีความจำเป็นและตามสมัยนิยมทั้งไม่มีไฟหน้า Auto ไม่มีที่ปัดน้ำฝนอัตโนมัติ ลำโพงให้น้อยกว่าเจ้าอื่นเพียง 4 จุด ไม่มีแอร์หลังบนหลังคา ไม่มีสัญญาณกะระยะการจอดรถหน้า-หลัง 4 จุด รวมถึงขยายจอสัมผัสให้ใหญ่ขึ้นราวๆ 8-10 นิ้ว